'จิบกาแฟ'ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ภัยเงียบ'โรคหัวใจ'ถามหา

วัยรุ่นหรือวัยเริ่มทำงานหลายๆ คน จับนิยามของ “Slow life” ผิดเพี้ยนไปจากเมื่อก่อน กลายเป็นการนั่งจิบกาแฟในร้านทั้งวัน หรือการทำงานหนัก อดนอน เครียดสะสม เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด อาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2559 เวลา 07.00 น.
นั่งจิบกาแฟ ทานขนมเค้ก ถ่ายรูปลงอินสตาแกรม อวดเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก ใช้ชีวิตแบบ “Slow life” คงเป็นวิถีชีวิตคนกรุงไปเสียแล้ว แต่ที่ได้แถมมาอีกหนึ่งอย่าง เลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้ ระวังให้ดี “น้ำหนัก” จะเพิ่มเอาได้เพราะ “น้ำตาล”
จริงๆ แล้ว นิยามของชีวิต “Slow life” คือ การใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป “อย่างมีสาระ” กำหนดตัวเองไม่หลงใหลไร้ทิศทางตามกระแสสังคม ทำทุกอย่างด้วยสปีดที่ช้าลง รับรู้กำหนดสติ ซึ่งถ้าจะให้สรุป สั้นๆ ง่ายๆ ก็จะหมายถึง “การจัดระเบียบให้กับชีวิต และใช้ชีวิตอย่างพอเพียง” แต่การใช้ชีวิตของคนไทยในปัจจุบันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
นพ.ณัฐพล เก้าเอี้ยน แพทย์โรคหัวใจ สถาบันหัวใจและหลอดเลือด รพ.พระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า...
วัยรุ่นหรือวัยเริ่มทำงานหลายๆ คน จับนิยามของ “Slow life” ผิดเพี้ยนไปจากเมื่อก่อน กลายเป็นการนั่งจิบกาแฟในร้านที่มีชื่อเสียงทั้งวัน หรือแม้แต่การใช้ของแบรนด์เนม นำมาแชร์กันในโซเชียลมีเดีย ล้วนเป็นสิ่งเร้าที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้รายรับเพียงพอกับรายจ่าย ส่งผลไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือแม้แต่การอดนอน เครียดสะสม ร่างกายทรุดโทรมลง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ตามมา

โดยโรคที่เป็นภัยเงียบทั้งหลาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ไขมันสะสม แต่ที่เงียบและร้ายกาจ คือ “โรคหัวใจและหลอดเลือด” เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1ของคนทั่วโลก และอันดับ 2 ในประเทศไทย โดยเฉพาะ “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” ซึ่งเป็น “โรคหัวใจ” ที่คนรู้จักน้อย แต่มีความร้ายแรง เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มที่มีความเสี่ยงด้าน “โรคหัวใจ” เท่านั้น
ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าในปี 2558 คนไทยทั่วประเทศเสียชีวิตจาก “โรคหัวใจและหลอดเลือด” รวม 63,029 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตจากโรค 96.33 ต่อประชากร 100,000 คน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 6,373 คน หรือเท่ากับอัตรา 111.92 ต่อประชากร 100,000 คน
ในอนาคตมีแนวโน้มผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มมากขึ้น หากดูจากสถิติจะพบว่ามีผู้ที่เสียชีวิตจาก “โรคหัวใจและหลอดเลือด” มากถึง 17 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 23 ล้านคน ในปี 2030 โดยการแสดงออกของโรคแตกต่างกันไป
สิ่งที่น่าวิตกโรคกลุ่มนี้มีแนวโน้มเกิดในคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่ง “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” นั้น เกิดจากการสะสมของ “คราบตะกรัน” (Plaque) ในเส้นเลือดหัวใจ โดยมีปัจจัยได้หลายสาเหตุ กรรมพันธุ์ สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย อาหารการกิน ความเครียด
เมื่อ “คราบตะกรัน” เกิดแตกในเส้นเลือด ร่างกายก็จะพยายามซ่อมแซมบาดแผล โดยสร้างเกล็ดเลือดเพื่ออุดบาดแผลในหลอดเลือด ซึ่งอาจจะมีผลกระทบไปกีดขวางการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดหัวใจ เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะความดันโลหิตจะตกลงอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นช้า และมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูง
แล้ว “โรคหัวใจ” น่ากลัวหรือไม่...ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณทำ เพราะพฤติกรรมการทำงานหนักจนเกิดความเครียด ทานอาหารฟาสต์ฟู้ด จานด่วน ไม่ครบทุกหมวดหมู่ เพื่อลดทอนเวลาให้กับความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน โรคไขมันสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
พล.อ.นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ อายุรแพทย์ด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด บอกว่า “โรคหัวใจ” เป็นโรคที่มีความหมายกว้างมาก และอาการเจ็บป่วยของโรคก็อาจจะเกิดจากการเจ็บป่วยของโรคอื่นก็เป็นได้ ซึ่ง “โรคหัวใจ” เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบมากและเป็นอันตรายที่สุด คือ อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่นำไปสู่อาการหัวใจวาย...!!
แล้วตัวเราเองสามารถสังเกตอาการบางอย่างได้หรือไม่? หากวิ่ง เดินขึ้นบันได หรือเมื่อโกรธ จะรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก อาการเจ็บหน้าอกของ “โรคหัวใจขาดเลือด” จะแตกต่างจากการเจ็บแบบอื่น โดยจะเจ็บแน่นๆ บริเวณหน้าอกด้านซ้ายหรือทั้ง 2ด้าน บางรายจะเจ็บร้าวไปที่แขนซ้าย หรือมีอาการปวดไปถึงกรามคล้ายเจ็บฟัน แม้จะหยุดออกกำลังกายแล้ว
การดูแลป้องกันไม่ให้เป็น “โรคหัวใจและโรคหลอดเลือด” เพียงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอและพอดี โอกาสเกิดโรคกลุ่มนี้ก็จะน้อยลง แต่ถ้าหากเกิดโรคขึ้นมาแล้ว การรับประทานยาเป็นประจำ การผ่าตัด การทำบอลลูนขยายเส้นเลือดที่ตีบ นั้นเป็นแค่การรักษาตามอาการเท่านั้นไม่ได้ทำให้หายขาดจากโรคนี้ได้เลย...
ส่วนการแก้ไขดังกล่าว เป็นการแก้ไขแค่เพียงส่วนเล็กน้อยตรงบริเวณที่เส้นเลือดผิดปกติที่ยาวเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น ไม่ได้แก้ไขส่วนอื่นของเส้นเลือดที่ยาวมากมายที่มีอยู่ทั่วตัวเรา ถ้าเรายังคงดำเนินหรือมีพฤติกรรมการการดำรงชีวิตเหมือนเดิมก็อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดโรค!!
แน่นอนว่า...การดูแลก่อนการเกิดโรคดีที่สุด ทุกคนต้องเริ่มดูแลสุขภาพ ฟื้นฟูร่างกายชะลอความเสื่อมของหัวใจ ป้องกันการเกิด “โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ” คงสภาพความหนุ่มสาวกันตั้งแต่วันนี้
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “ทวีลาภ บวกทอง”... อ่านต่อที่ : dailynews