เผย 6 สมุนไพรลดความดันโลหิตสูง สกัดภัยเงียบคุกคามชีวิต

โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่อาศัยกลไกของโครงสร้างร่างกาย 2 ส่วนคือ หัวใจและหลอดเลือด โดย หัวใจจะคล้ายกับ ก๊อก หรือ ปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เลือดไหลแรงดี ความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็ลดลง
ส่วนหลอดเลือดเปรียบเหมือนสายยาง หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี จะปรับความดันได้ดี ไม่ให้สูงเกินไป แต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือ แข็งตัว ก็จะทำให้ความดันสูงและถ้าสูงมากสายยางที่ขาดความยืดหยุ่นก็จะแตก เช่น หลอดเลือดสมองแตก เป็นต้น
โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิต เนื่องจากไม่มีอาการเตือน เมื่อเป็นแล้วก็จำเป็นต้องรักษาตลอดไป และต้องรับประทานยาเพื่อให้ความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติก็ตาม
และยังเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ โรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต อัมพฤกษ์
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงแบ่งได้เป็นการรักษาที่ไม่ใช้ยา ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม และการรักษาด้วยยา
ในทางการแพทย์แผนไทย โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เกิดจากการพัดพาที่ไม่สมดุลของวาตะหรือลมในร่างกาย บางครั้งพัดแรง บางครั้งพัดช้า เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะเครียดที่ทำให้ปิตตะกำเริบเผาให้เกิดความเสื่อมของช่องทางเดินลม ความเสื่อมคือความแห้ง ซึ่งมีคุณสมบัติตรงกับวาตะ ช่วยเสริมฤทธิ์ของวาตะ วาตะเกิดการกำเริบขึ้นทำให้มีการเคลื่อนของลมที่แรงขึ้น เกิดเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งจะพบอาการที่เกิดจากวาตะกำเริบ คือ อาการปวดบริเวณศีรษะและท้ายทอย
การปรับสมดุลของวาตะนี้ เมื่อวิเคราะห์ย้อนกลับกับตำรายาไทยก็จะพบว่า ยาที่ลดการพัดพาของวาตะจะเป็นยาที่มีรสสุขุมไปทางร้อน ซึ่งตรงข้ามกับคุณสมบัติของวาตะ และเสริมด้วยยาที่มีกลิ่นหอมเย็นตรงข้ามกับปิตตะ ก็จะช่วยลดหรือคลายความเครียด
สมุนไพรสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
กระเจี๊ยบแดง Roselle ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa Linn.
วิธีใช้ ใช้ใบสด 30-60 กรัม ต้มหรือแกงรับประทาน ใช้กลีบเลี้ยงแห้ง 5-10 กรัม ต้มน้ำหรือชงน้ำร้อนดื่มเป็นประจำทุกวัน
การทดลองทางคลินิค จากการทดลองในสัตว์ ใช้สารสกัดด้วยน้ำของกลีบเลี้ยงฉีดเข้าเส้น พบว่ามีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และขับกรดยูริค ส่วนการทดลองในคนพบว่า มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตและขับปัสสาวะ ซึ่งพบการใช้กระเจี๊ยบเพื่อเป็นยาในหลายประเทศ เช่น กัวเตมาลา อียิปต์ เป็นต้น

คึ้นไฉ่ Celery ชื่อวิทยาศาสตร์ Apium graveolens Linn.
วิธีใช้ แนะนำให้รับประทานเป็นประจำทุกวัน วันละ 4 ต้น
ชาวเอเชีย (จีนและเวียดนาม) นิยมใช้คื่นไฉ่ เป็นยาลดความดันโลหิตมาประมาณ 2,000 ปี ชาวอินเดียใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ส่วนในประเทศไทย ใช้คึ่นไฉ่ทั้งต้นมาใช้เป็นยาลดความดันโลหิตสูง และขับปัสสาวะ
จากการศึกษาของนักเภสัชวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ชิคาโก ดร.Willium Elliot ได้แยกสาร 3-N-Butyl Phathalide ฉีดเข้าในหนูทดลอง พบว่าลดความดันโลหิตสงได้ ร้อยละ 15

บัวบก Asiatic Pennywort ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (Linn.) Urban
วิธีใช้ ใช้ผงของใบแห้งขนาด 0.5-2 กรัม วันละ 3 เวลา รับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือน
การวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่า บัวบกมีสารสำคัญ คือ glycoside (asiaticoside, asiatic acid, Madecassic acid, Sitosterol, Hydrocotylene) ซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ อีกทั้งบัวบกยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และช่วยขยายหลอดเลือด แต่ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีใช้ ให้นำกระเทียมประมาณ 250 หัว แช่กับเหล้าขาว ประมาณ 1 ลิตร ใช้เวลานาน 6 สัปดาห์ แล้วรินเอาน้ำใสใส่ขวด ใช้รับประทานครั้งละครึ่งช้อนกาแฟ ตอนเช้าวันละ 1 ครั้ง

ขิง Ginger ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe
วิธีใช้ แนะนำให้รับประทานสดเป็นประจำพร้อมอาหารวันละ 3 เวลา หรือใช้ขิงสดฝานแล้วต้มน้ำทำเป็นน้ำขิงรับประทาน
จากงานวิจัยพบว่า ขิง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ช่วยลดความดันโลหิต และลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

พูลคาว/คาวตอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Houttuynia cordata Thunb.
วิธีใช้ นำรากมาตำกับน้ำพริก สามารถเป็นยารักษาโรคเบาหวาน และความดันโลหิต
ในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และในแถบอินโดจีน มีการนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อักเสบ รักษาริดสีดวง แก้อาการบวมน้ำ เป็นต้น
สาร flavonoid ที่พบในพลูคาวช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงไต จึงมีผลเพิ่มการขับปัสสาวะ
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
โทร. 037 211 289
ที่มา ข่าวสด